จากสถานการณ์ฝนตกในอำเภอทองผาภูมิ ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ และมีความชื้นในอากาศสูง ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการแพร่ระบาดของโรคพืช เจ้าหน้าที่เกษตรอำเภอทองผาภูมิได้แนะนำให้เกษตรกรหมั่นสำรวจแปลงเพาะปลูกอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะทุเรียน ไม่ควรปล่อยให้มีน้ำท่วมขังในสวน หากมีน้ำท่วมขังควรรีบระบายออก โดยหลังสถานการณ์ฝนตกชุกหรือน้ำลดเมื่อดินในสวนเริ่มแห้งแล้วจึงเข้าสำรวจสวน โดยตรวจวิเคราะห์ดิน และปรับสภาพดินไม่ให้เหมาะสมต่อการเกิดโรค ปรับสภาพดินให้มีค่าความเป็นกรด-ด่างของดินประมาณ 6.5 กรณีที่ดินเป็นกรดจัด ให้ใส่ปูนขาวหรือโดโลไมท์ อัตรา 100 – 200 กิโลกรัมต่อไร่ พร้อมทั้งปรับปรุงดินโดยใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ซึ่งโรครากเน่าโคนเน่าในทุเรียนหากเชื้อเข้าทำลายที่ราก เริ่มแรกจะเห็นใบที่ปลายกิ่งมีสีซีดไม่เป็นมันเงา เหี่ยวลู่ลง ต่อมาใบจะเหลืองและหลุดร่วง หากขุดดูรากจะพบรากฝอยมีลักษณะเปลือกล่อน และเปื่อยยุ่ยเป็นสีน้ำตาล เมื่อเชื้อโรคลุกลามไปลำต้นเกิดจุดฉ่ำน้ำ มีเมือกไหลเยิ้ม เนื้อไม้เป็นสีน้ำตาลแดง หากเชื้อโรคเข้าทำลายที่ใบโดยตรง ใบดำช้ำตายนึ่ง คล้ายน้ำร้อนลวกต่อมาใบไหม้และแห้งคาต้น หากติดเชื้อที่ผลจะทำให้ผลเน่า โดยมีแนวทางการป้องกัน คือ หลีกเลี่ยงการทำให้รากหรือลำต้นเกิดแผล ซึ่งจะเป็นช่องทางให้เชื้อราสาเหตุโรคเข้าทำลายได้ง่าย หรือใช้เชื้อราปฏิปักษ์ เช่น เชื้อราไตรโคเดอร์มา ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืชและควบคุมปริมาณเชื้อสาเหตุโรคพืชในดิน โดยใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา 1 กิโลกรัมผสมรำข้าว 4 กิโลกรัม ปุ๋ยหมัก 100 กิโลกรัม คลุกเคล้าให้เข้ากัน ใช้เป็นเชื้อตั้งต้นในการควบคุมโรคพืช โรยรอบโคนต้นตามรัศมีทรงพุ่มประมาณ 5 กิโลกรัมต่อต้น หรือประมาณ 80 – 100 กิโลกรัมต่อไร่ หรือหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว ควรตัดแต่งกิ่งเป็นโรค กิ่งแห้ง และตัดขั้วผลที่ค้างอยู่ไปทำลายนอกแปลงปลูกเพื่อลดการสะสมของเชื้อสาเหตุโรค