กรมส่งเสริมการเกษตร เตือนเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังในทุกภาคของประเทศไทย เฝ้าระวังการระบาดของโรคโคนเน่า-หัวเน่ามันสำปะหลัง (สาเหตุจากเชื้อรา phytopbthora spp.) โดยเฉพาะพื้นที่ปลูกในแถบภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากช่วงนี้หลายพื้นที่มีฝนตกต่อเนื่อง สภาพแวดล้อมเหมาะต่อการระบาดของโรค ดังนั้น ขอให้เกษตรกรสำรวจแปลงอย่างสม่ำเสมอ หากพบต้นมันฯแสดงอาการของโรค ให้รีบแจ้งสำนักงานเกษตรจังหวัด หรือสำนักงานเกษตรอำเภอใกล้บ้าน เพื่อดำเนินการป้องกันกำจัดทันที
ลักษณะอาการ อาการของต้นมันฯที่อยู่เหนือดินจะพบว่าใบจะเหี่ยวเหลือง โคนต้นเน่าเป็นสีน้ำตาลหรือดำ บางพันธุ์ที่สร้างรากค้ำชูตรงรอยแตกของโคนต้น เมื่อถอนขึ้นมาหัวมันจะเน่า ถ้าผ่าหรือหักหัวจะเห็นภายในมีสีน้ำตาล บางพันธุ์มีอาการเน่าที่โคนและส่วนหัวที่อยู่ใต้ดิน โดยที่ส่วนของลำต้นและใบยังมีลักษณะปกติ บางพันธุ์แสดงอาการรุนแรงมันสำปะหลัง อาจยืนต้นตายได้
แนะนำวิธีการป้องกัน-กำจัด ดังนี้
1.ก่อนปลูก เก็บเศษเหง้า หรือเศษซากมันสำปะหลังเผาทำลายทิ้ง ทำความสะอาด เครื่องจักรกลการเกษตร ควรมีการไถตากดินอย่างน้อย 2 สัปดาห์
2.แช่ท่อนพันธุ์ด้วยสารป้องกันกำจัดเชื้อราเมทาแลกซิล 25% WP อัตรา 20-50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% WP อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร เป็นเวลา 10 นาที รวมถึงใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาไปหว่านในช่วงการเตรียมดินก่อนปลูก
3.แปลงปลูกควรยกร่องสูง หรือบริเวณที่มีน้ำท่วมขังให้ทำร่องเพื่อระบายน้ำออกจากแปลง ควรจัดระยะปลูกให้เหมาะสมเพื่อให้ทรงพุ่มโปร่ง ทำให้สภาพแวดล้อมไม่เหมาะต่อการระบาดของโรค
4.สำรวจแปลงอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ถ้าช่วงฝนชุกควรสำรวจทุกวัน หากพบการระบาดให้ขุดถอนต้นที่แสดงอาการไปเผาทำลาย จากนั้นบริเวณที่แสดงอาการและโดยรอบห่างออกไปประมาณ 1 เมตร ให้หว่านปูนขาว หรือโรยเชื้อราไตรโครเดอร์มาบริเวณรอบโคนต้นที่ขุดออก หรือกรณี ระบาดรุนแรงมากราดด้วยสารเมทาแลกซิล 25% WP อัตรา 20-50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% WP อัตรา 50 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร บริเวณที่ถอนและโดยรอบห่างออกไปประมาณ 1 เมตร
5.หลังเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว ควรเก็บเศษเหง้า และเศษซากมันสำปะหลัง ไปทำลายนอกแปลงปลูก
6.ควรทำความสะอาดเครื่องจักรกลการเกษตรที่ใช้ใน แปลงที่เป็นโรค เนื่องจากเชื้อสำเหตุโรคอาจ ติดมากับเครื่องจักรกลการเกษตรนั้น
7.ในแปลงที่มีการระบาดของโรครุนแรง ควรปลูกพืชชนิดอื่นหมุนเวียน เช่น อ้อย ข้าวโพด หรือพืช ตระกูลถั่ว